8.02.2550

อังกูร ทองสุนทร ความเลือนรางที่ชัดเจน


เรื่อง...ขนิ-โต และกองกำลังปั้นฝันฯ




จุลสาร TK park เล่มที่ 23 เดือนเมษายน 2550
คอลัมน์T-Talk





หากวันหนึ่ง คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเลือนรางพร่ามัว
ความเปลี่ยนแปลงที่ใครก็ยากจะยอมรับได้
จากความอ่อนแอทางร่างกาย ลุกลามไปถึงจิตใจ …




หากนั่นเป็นเพียงความฝัน เมื่อเราถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน แสงสีส้มทองของดวงตะวันในยามเช้าจะยังปรากฏเบื้องหน้าเราอีกครั้ง



แม้เช้าวันนี้ของอังกูร ทองสุนทร หรือ แฮ๊ค จะมีกลุ่มเมฆหมอกเข้ามารบกวนสายตา ทำให้เปิดรับสีสันได้ไม่เต็มที่ เฉดสีลดทอนปริมาณความสดและความต่าง แสงสีส้มทองของตะวันที่สะท้อนเข้าตากลายเป็นสีในความทรงจำวันเมื่อวาน



แต่เช้าวันนี้ ในช่วงแต่ละวันของชีวิตเขาแทบจะไม่แตกต่างหรือผิดแปลกไปจากมนุษยชนทั่วไป ที่มักใช้เพียงประสาทสัมผัสตา ในการดำรงใช้ชีวิต...

ภาค : กายภาพ



ศิลปะกับการมองเห็น
“เมื่อก่อน ชอบเรียนเขียนรูป ก็ชอบเกี่ยวกับศิลปะ อยากเป็นพวกนักออกแบบ ดีไซเนอร์ พอเรียนจบ ปวช.(สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล) ผมก็ไปสอบในระดับอุดมศึกษา แต่เรียนต่อไม่ได้ เพราะสายตาบกพร่องทางการมองเห็น มองเห็นเพียงเลือนราง เลือนรางคือ เวลามองมันจะเหมือนมีหมอก ระยะการมองเห็นจะไม่ปกติ คือคนปกติ อาจจะใส่แว่น แล้วอาจช่วยให้ดีขึ้นได้ แต่ผมเนี่ย คือใส่แว่นแล้วก็ยังมองเห็นไม่ชัดอยู่ดี ถ้าเกิดใช้กล้องส่องทางไกล แม้จะช่วยดึงภาพให้เข้ามาใกล้ได้ขึ้นจริง แต่จะไม่มีความคมชัด ไม่สามารถช่วยอะไรได้ คือจะเหมือนมีหมอกอะไรบัง อาการที่ผมเป็น เขาเรียกว่าประสาทตาเสื่อม จัดอยู่ในกลุ่มคนตาบอด ประเภทเห็นเลือนราง”
“ก็เลยพักอยู่บ้านประมาณ 7-8 เดือน แล้วในระหว่างนั้น ก็คุยกับแม่ว่าถ้าอยู่บ้านอย่างนี้ไม่ไหวแน่เลย รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรเลย อยู่บ้าน ฟังวิทยุ เล่นกีตาร์ วนเวียนอย่างนี้เกือบทุกวัน ก็ไปบอกกับแม่ว่าผมเคยเห็นคนตาบอดที่เขาเรียนหนังสือได้นะ แม่ก็เลยพาไปที่วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้เริ่มฟื้นฟู รู้จักเครื่องมือเครื่องไม้ อักษรเบลล์ เริ่มเห็นคนตาบอดที่เขาใช้ชีวิตได้จริง ก็ทำให้รู้สึกว่ายังมีคนที่เขาแย่ยิ่งกว่าเรา เขาไม่เห็นมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ แต่เขายังใช้ชีวิตอยู่ได้เลยนะ แล้วเราล่ะ ทำไมเราไม่สู้ล่ะ คือใจมันออกมาในระดับหนึ่งแล้ว พอยิ่งมาเห็นแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่า เราก็ทำได้นะ”

วันที่พ่อเริ่มปล่อยมือ...
“ตั้งแต่เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา เวลาไปไหนพ่อก็ต้องคอยไปส่งไปรับ จนถึงช่วงเริ่มเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกการศึกษาพิเศษ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ก็เริ่มรู้สึกว่า ชีวิตเราไม่ใช่แบบนี้นะ ต้องทำเอง ต้องเที่ยว ต้องไปเจอสังคม ต้องไปเจอคนข้างนอก ก็เลยบอกกับพ่อว่าเดี๋ยววันนี้จะไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอก ไม่ต้องไปรับไปส่งแล้วนะ ก็เหมือนเริ่มพัฒนาตัวเอง เริ่มปรับตัวไปด้วย แต่ถ้าถามว่าอันตรายไหม มันก็ต้องมีล้มกันบ้าง ถึงจะเรียนรู้กัน”

ศิลปะกับการมองไม่เห็น
“ศิลปะอีกแขนงที่ผมจะสัมผัสตรง ๆ ได้ ก็คือ ดนตรี ก็เลยเริ่มฟัง เริ่มร้อง เริ่มเล่น บวกกับมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับคนที่คร่ำหวอดทางด้านนี้โดยตรง อย่างตอนเรียนก็ไปทำงานค่ายศิลปะ art for all ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ค่ายนี้ก็ทำให้ได้รู้จักคนเยอะขึ้น อย่างเช่น ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน แล้วก็เริ่มไปรู้จักการเล่นละครเวที การร้อง เล่น เต้น ไปช่วยงานให้กับสมาคมคนตาบอดฯ ก็จะมีกิจกรรม ตามเวทีต่าง ๆ ตามศูนย์วัฒนธรรมบ้าง ก็มีคนพาไปรู้จักทาง สถาบันดนตรี Genx Academy อีก ก็เลยได้ไปร้องเพลงในอัลบั้ม Experiment 1 หลังจากนั้นก็มีมาคนมาชวนไปทำรายการทีวี เป็นสกู๊ปสั้น ๆ ก็เหมือนเป็นโอกาสให้เราได้สัมผัส แล้วตอนที่พี่อุ้ม สิริยากร พุกกะเวช ได้ไปออกรายการเจาะใจ ตอนที่ปิดตา เรียลลิตี้ ผมก็มีโอกาสก็เป็นวงที่เล่นให้พี่เขา บวกกับตอนนั้นพี่อุ้มทำโครงการ หางานให้คนตาบอด พี่อุ้มก็เลยแนะนำให้มาทำงานที่นิตยสาร DDT เขียนคอลัมน์ชื่อดีเดย์และมิวสิค รีวิว ครับ”
“แต่ว่าก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรแบบนี้อย่างเดียวนะ ช่วงว่างก็มี ว่างจริง ๆ แบบไม่ได้ทำอะไร ก็นั่นแหละ การว่างก็เป็นการพักผ่อน ได้ถามตัวเองว่าชอบอะไร ก็ลองคิดว่า เราก็มีสมองนะ เขียนหนังสือบ้าง ทำหนังสือทำมือ เคยเป็นครูสอนต่างจังหวัดด้วย สอนหนังสือคนตาบอดตามต่างจังหวัด ไปเป็นเดือน ๆ จบที่หนึ่งก็ไปอีกทีหนึ่ง แต่ว่าเราก็ถามตัวเองว่าเราชอบหรือเปล่า คือมันก็เป็นประสบการณ์จริง เป็นรสชาติชีวิต แต่จะให้ทำอย่างนี้เรื่อย ๆ ก็บอกว่าไม่ชอบนะ ขอรู้จักอย่างอื่นก่อนดีกว่า”

กีฬาโบว์ลิ่ง -- ใจสำคัญกว่าตา
“ผมเล่นกีฬาโบว์ลิ่งมา4-5ปีแล้วครับ เรื่องนี้มันก็เป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างหนึ่งนะ เมื่อก่อนตอนผมตาดี ก็ไม่เคยเล่นนะ ไม่กล้า อาย กังวลว่าเวลาโยนควรจะทำท่าทางยังไง คนรอบข้างเขาก็เล่นกันท่าสวย ๆ จนวันหนึ่งมีโอกาสไปเล่นโบว์ลิ่งกับเพื่อน เพื่อนเล่นกันไป ส่วนเราก็นั่งดูเขาเล่น ก็คิดขึ้นมาว่าทำไมเราไม่ได้เล่น ทั้ง ๆ ที่เราก็นั่งอยู่ เราก็มองเห็นพิน ก็เลยลองเช่ารองเท้ามาแล้วก็ลองโยนดูบ้าง พอได้เล่นก็...เอ้ย! ไม่เห็นมีอะไรยากเลย ถ้าใจคิดจะทำอะไรสักอย่างมันก็ต้องทำได้ แล้วเล่นดีกว่าเพื่อนอีกด้วย เพื่อนก็ถามว่า มองเห็นพินด้วยเหรอ ก็เห็นเหมือนกันนะ เห็นเป็นพินลางๆ จับทางได้ก็พอรู้ว่าต้องโยนไปทางไหน กีฬาโบว์ลิ่งเป็นกีฬาใหม่ของคนตาบอด ก็เลยได้คุยได้สัมผัส มีการคัดเลือกแข่งขัน แข่งระดับประเทศ แข่งระดับชาติต่อไป ก็ล่นมาเรื่อย ๆ จนได้เป็นนักกีฬาโบว์ลิ่งตาบอดทีมชาติ แล้วก็ได้ไปแข่งที่มาเลเซีย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นเพราะต้องซ้อมดนตรีกับเพื่อน ๆ ในวงครับ”

วงดนตรี IONION ความฝันที่ถูกทำให้เป็นความจริง
“วงดนตรี IONION เป็นวงดนตรีคนตาบอดวงหนึ่ง รวมคนที่มีความฝันอย่างเดียวกัน พวกเราชอบดนตรี อยากมีอัลบั้ม แต่เราอยากจะเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนทัศนคติ คนในสังคม อยากให้มองคนพิการ คนตาบอด ในทัศนคติที่ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าพอพูดถึงคนตาบอด ก็จะมองว่าคนกลุ่มนี้ด้อยค่า ไร้ประโยชน์ ในปัจจุบันนี้คนตาบอด จบในระดับปริญญาตรี ค่อนข้างเยอะ แต่พวกเขาขาดโอกาส ขาดความเข้าใจในการทำงาน ซึ่งจุดนี้ วงดนตรี จะเป็นตัวทำความเข้าใจ สื่อให้คนทั่วไปเห็นว่า คนตาบอดก็ทำอะไรได้นะ คือในวงแต่ละคนก็มีหน้าที่ มีงานประจำทำต่างกันไป นี่คือเรียกว่า เป็นงานที่ช่วยสื่อสารให้กับสมาคม”
“ผมและเพื่อน ๆ อีก 3 คนในวง ก็ไม่ใช่ว่าเก่งหรือวิเศษมากกว่าเพื่อน ๆ คนอื่นนะครับ เพียงแต่ว่าพวกเรา มีโอกาสที่ดีกว่าเท่านั้นเอง พวกเราพยายามหัดเล่นนู่นนี่ พยายามค้นหาตัวเอง ทำนู่นทำนี่ ทำทุกอย่าง หาตัวเองว่าชอบอะไร ฝันอะไร แต่ไม่ใช่ว่าเราฝัน แล้วปล่อยให้มันเป็นแค่อากาศ เราต้องพยายามสร้างมันด้วย สร้างมันจนสำเร็จ ถึงสร้างแล้วจะไม่มีคนสนใจ แต่เราก็สร้างต่อไป เผื่อว่าสักวันหนึ่งเมื่อโอกาสมันยื่นมา เราจะได้แสดงผลงานที่เรามีให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจน”

ภาค : จิตใจ

เพลงด้านที่ 9 --- หาก 8 ด้านยังมืดมน ลองค้นมองหาด้านที่ 9

“อยากสื่อถึงทุกคนที่หมดกำลังใจ หมดความหวัง หมดทุกอย่าง อย่างตาบอด ถ้าเข้าใจ แล้วก็ไม่อาย ผมว่าสังคมเดี๋ยวนี้เปิดกว้างขึ้น เปิดโอกาสให้เขาออกมาได้ทำอะไร รวมทั้งตัวเขาเองด้วย ถ้าตัวเขาปิดโอกาสตัวเอง คือมันมีนะ คนที่รู้จักมา เก่ง แต่ตาบอด คือเมื่อเขาอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็รู้สึกเสียดายความสามารถเขา ก็เลยอยากสื่อออกไปว่าให้ออกมาดีกว่า ด้านที่ 9 รอคุณอยู่นะ”

กองกำลังใจ...
“สำคัญที่สุด ก็คือ ตัวเองและคนรอบข้าง เขามักจะโดนตีกรอบไปแล้ว ว่าเขาหมด เขาไม่มี
ความสามารถ คนตาบอดหลาย ๆ คน ที่เขาไม่เห็น เขามืดไปแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าสายตาคนที่เขานั่งคุยด้วยเป็นยังไง น้ำเสียงเป็นยังไง แต่เมื่อไม่มีมา เขาก็ไม่รู้ว่าคนรอบข้างรู้สึกยังไง แต่พอได้พูดคุย เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ถ้ามีบางสิ่งบางอย่างผมแสดงความคิดเห็นไป แล้วมีคนตอบกลับมาว่า เฮ้ย...ดี คิดได้ยังไง ความสนใจตรงนี้ เป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้น คนรอบข้างก็ต้องเข้าใจไม่ใช่ว่าไปคิดแทนเขา บางทีคนไม่รู้ ไปคิดแทนว่าทำอะไรไม่ได้หรอก อย่างให้ทำ ลำบากเปล่า ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นการคิดแทน
สำคัญก็คือ เราเองด้วย ในปัจจุบันนี้ ช่องทางโอกาสมีเยอะ มีศูนย์การศึกษาพิเศษ มีที่ให้คำปรึกษาเยอะ แต่เขาก็ไม่กล้าออกมา ไม่พัฒนาตัวเอง ไม่ใช่ว่าโทษสังคมอย่างเดียว ส่วนหนึ่งก็ต้องโทษด้วยว่าเราไม่พัฒนาตัวเอง จมปลัก ย่ำอยู่กับที่ คือเรื่องแบบนี้ มันก็ต้องทั้งสองฝ่าย อย่างผมมาทำงานที่นิตยสาร DDT ทำงานกับพี่เต็ด ยุทธนา บุญอ้อม ก็ไม่ต้องคุยอะไรมาก เห็นว่าทำได้ก็รับผิดชอบไปสิ ไม่ถูกใจก็โดนดุนะ ไม่ใช่ว่าไม่เป็นไรนะ เข้าใจว่ามองไม่เห็น เราก็ต้องโดนดุ เพื่อพัฒนาตัวเองไปด้วย พอเราเข้าใจกัน เราก็จะทำงานได้อย่างราบรื่น

ภาค : มันส์สมอง

สติมาปัญญามี
"ช่วงที่ผมอยู่บ้านเฉย ๆ นอกจากจะฟังเพลงแล้ว ก็จะฟังธรรมะในวิทยุคลื่นเอเอ็มด้วย บางครั้งเราต้องมีสติไง พอมีสติแล้วมันก็เกิดปัญญา เราก็คิด เออ...มันก็จริงนะ ถ้าเกิดเรามัวแต่อารมณ์เสีย มัวแต่อาละวาด ทำอะไรรุนแรง คนที่เดือดร้อนมากที่สุดก็คือ คนใกล้ตัวเรา ครอบครัว แล้วก็ตัวเราเองด้วยที่ต้องเครียด แต่พอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกว่า ใจเย็นลง สามารถรอได้ แต่ก็มีบ้างนะ ที่มันอึดอัด แต่มันเป็นเหมือนอาการคัน เกา ๆ หน่อยก็หาย ถามว่าแตกต่างจากเมื่อก่อนมั้ย ตอนนี้เราก็จะใจเย็นลง คิดอีกมุมหนึ่ง เมื่อก่อนนี้เราจะโทษคนอื่น แต่ปัจจุบันเราจะลดตรงนั้น มองตัวเองมากขึ้น เราอาจจะทำไม่ดีจริงนะ เขาถึงว่า คือใจเย็นลง มองตัวเองก่อนที่จะว่าคนอื่น"

สมอง...อวัยวะ Super สำคัญ
"แล้วเวลาผมเขียนงาน สิ่งที่ผมใช้สื่อสารได้ คือใช้คอมพิวเตอร์ แล้วมีวันหนึ่งผมแขนขวาหัก แขนหักแล้วยังตาก็ไม่ดีด้วย หักไปเดือนหนึ่ง รู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย ขาดมือขวาไป เขียนอะไรก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ แล้วคิดอีกว่า ถ้าวันหนึ่งเราขาดสมองขึ้นมาล่ะ คงตายเลยนะ จะบอกว่าไอ้สิ่งที่เราเป็นอยู่คือสายตาที่มันไม่ดีนี้ มันเหมือนเป็นสิ่งที่น่ารำคาญเท่านั้นเอง เหมือนโดนมดกัด โดนยุงกัด มันน่ารำคาญ แต่พอเราแก้ปัญหาได้ เหมือนเราเกาถูกจุด เหมือนกับมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมาช่วยเรา"


เช้าวันพรุ่งนี้.... แสงสีส้มทองจากดวงอาทิตย์ อาจจะไม่ได้มองเห็นได้ด้วยสายตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว...

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

วันนี้ดูน้องเป็นพิธีกรรายการล้อเล่นโลก
รู้จักน้องเป็นครั้งแรก ชอบแนวความคิด ของน้องครับ และขอชมว่าน้องเก่งมากครับ อยากตบมือให้ดังๆ จังครับ จะคอยติดตามผลงานน้องนะครับ
noom61@gmail.com

manoo satee กล่าวว่า...

ดีใจแทนคุณอังกูรด้วยจริงๆ ค่ะ
หากได้มีโอกาสสนทนากับพี่เขา
จะนำสารนี้แจ้งให้คุณอังกูรทราบนะคะ ^^